กว่า 20 ปีมาแล้ว ที่ตาแก่คนนี้รู้จักกับ Linux ตั้งแต่ยุคที่ยังใช้ Windows 3.11 อยู่ จำไม่ได้ว่าไปรู้จักมันได้อย่างไร แต่จะว่าไปก็อดดีใจกับตัวเองไม่ได้ ที่ตอนนั้นกระแดะจะใช้ Linux กับเขาบ้าง ถึงวันนี้ก็เลยได้อาศัยความรู้เก่าๆ เอามาใช้กับงานใหม่ๆ ได้อย่างที่ตัวเองก็คิดไม่ถึง
ว่ากันตามตรงตอนที่เริ่มเรียนรู้ หัดติดตั้ง หัดใช้งาน ผมก็คิดอยู่ตลอดเวลาว่า ใครจะใช้วะ เพราะมันยากตั้งแต่ติดตั้ง การลงไดรเวอร์อุปกรณ์ต่างๆ แค่การ์ด LAN ก็แทบจะไปไม่รอด พอๆ กับการ์ดจอ ที่สุดท้ายผมต้องยอมใช้งานใน Text Mode เอา เพราะไม่มีปัญญาจะลงไดรเวอร์การ์ดจอเพื่อใช้ startx กับเขาได้
แต่ก็อย่างที่บอกล่ะครับ เพราะความกระแดะจะใช้งาน ก็เลยหาทางงมมันจนพอใช้ได้บ้าง งมมาตั้งแต่ RedHat 5 มาใช้งานได้จริงก็ปาเข้าไป RedHat 6 เข้าไปแล้ว แต่เพราะความขี้เกียจลงไดรเวอร์การ์ดจอของผมนี่แหละ ผมเลยถนัดใช้งานแต่ใน Text Mode ที่ต้องกระหน่ำพิมพ์คำสั่ง แต่มันก็ความรู้สึกเดียวกับใช้ DOS ยังไงยังงั้นเลยครับ จำคำสั่งให้ได้ แล้วก็พิมพ์สั่งไป
จาก RedHat 6 ที่ผมเริ่มเอามาทำมาหากินกับการใช้เป็น web Server และ Proxy Server มาถึง Debian, Mandrake จนมารุ่นหลังอย่าง Fedora หรือ CentOS ผมก็เริ่มห่างจาก Linux ออกไป เพราะมีงานอื่นๆ ให้ต้องไปหมกมุ่นแทน จะมีแวบไปใช้ Ubuntu บ้างในบางโอกาส แต่ก็น้อยเหลือเกิน
ช่วงหลังๆ งานมันเริ่มเปลี่ยนไป จากเคยทำงานบน Windows บน OSX วันนี้กลับมาทำบน Raspbian บน Android ตอนแรกผมก็ถอดใจ ก็มันแก่เกินกว่าจะมานั่งเรียนรู้ใหม่แล้วล่ะครับ คงไม่ได้แน่ๆ แต่พอเห็น OS แล้วก็เกิดความรู้สึกอย่างที่บอกไปตอนต้นเลยครับ รู้สึกดีใจ ที่เมื่อก่อนกระแดะจะใช้ Linux จากไอ้ที่จะต้องเรียนรู้ใหม่หมด ก็เหลือแค่บางส่วนเท่านั้น ตาแก่คนนี้ยังพอนั่งอ่าน นั่งศึกษาไหวครับถ้าแค่นี้
ชีวิตมันยังต้องเดินต่อไป สู้ไหวก็ต้องสู้กันไปล่ะครับ แต่ทุกครั้งที่ใช้งาน อดนึกถึงเรื่องราวสมัยก่อนที่ยังใช้ RedHat ใช้ Mandrake ทำมาหากินไม่ได้ จนบางครั้งต้องแอบยิ้มกับเรื่องราวเหล่านั้น
ไม่ใช่แค่บทเพลง ที่ทำให้เรานึกถึงอดีต โปรแกรมคอมพิวเตอร์มันก็ทำให้เราย้อนกลับไปคิดถึงอดีตได้เหมือนกันนะครับ