สัปดาห์ที่ผ่านมา บ้านเมืองวุ่นวาย ทำให้จิตใจที่ย่ำแย่จากการผ่านช่วงเวลาที่หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ และพลอยเลยเถิดไปถึงการพลัดหลงเข้าไปในความคิดของเรื่องไร้สาระทางการเมือง ก็ยิ่งทำให้สภาพจิตใจยิ่งตกต่ำหนักไปกว่าเดิม
บางครั้งที่คนเราวางความคิดของตัว ไว้ในตำแหน่งที่ตัวเองไม่มีความสามารถจะคิดได้ มันยิ่งเป็นการทำร้ายตัวเองอย่างน่าสมเพช
ก่อนที่ตัวเองจนหลุดเข้าไปร่วมวังวนความคิดที่โง่เง่าอย่างนั้น ผมตัดสินใจที่จะหลบออกไปพักความคิดอีกสักหน่อย แม้ว่าเพิ่งจะพักไปเมื่อเร็วๆนี้เอง แต่ก็ถือว่าอนุโลมให้เนื่องจากคนอายุขนาดนี้ พักบ่อยสักหน่อยก็ยังไม่ถือว่าน่าเกลียด
จากข้ออ้างข้างต้นผมจึงได้ระเห็จออกมาจากที่พักที่ทำงานไกลถึงเกือบสองร้อยกิโลเมตร มาอยู่ที่เงียบๆ เพื่อพักผ่อนทั้งร่างกายและความคิดอีกครั้ง
ครั้งนี้ผมได้พักจริงๆ ไม่มีธุระไปไหน ไม่มีการติดต่อกับใคร รถที่มาส่งผม พรุ่งนี้ถึงจะมารับ ก็เป็นอันว่าผมไปไหน ติดต่อใครไม่ได้เป็นเวลาสองวัน
แต่เชื่อไหมครับ แค่ครึ่งวัน ผมเริ่มมีอาการเหมือนคนติดยา โทรศัพท์มือถือที่ไม่มีสัญญาณ โน้ตบุ้คที่เชื่อมต่อเน็ตไม่ได้ เริ่มทำให้ผมกังวลถึงการติดต่อกับผู้คนบนโลกใบนี้ เริ่มหงุดหงิด และฟุ้งซ่านไปเรื่อยเปื่อย
เกือบสองชั่วโมง กว่าที่จะดับความคิดลงได้ จิตใจเริ่มสงบ ไม่ติดต่อกับใครก็ดีแล้ว ไม่ต้องไปไหนก็ดีแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ผมเลือกเองตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ก่อนจะมา ตรรกะต่างๆ กลับมาเข้าที่เข้าทาง ความคิดเริ่มจัดเรียงเป็นระเบียบมากขึ้น ผมหยุดถามตัวเองว่า จะทำอะไร เพราะเมื่อไม่มีอะไรต้องทำ ก็ไม่จำเป็นต้องไปหาอะไรทำ ไม่มีอะไรต้องคิด ก็ไม่จำเป็นต้องไปหาอะไรมาคิด
จากบ่ายจนค่ำ ผมแค่หายใจเข้าออก ขยับร่างกายไปตามที่ควรจะทำ ในสมองว่างเปล่า ไม่มีภาพความคิดใดๆ ปรากฎ ไม่มีเมื่อวาน ไม่มีวันนี้ ไม่มีวันพรุ่งนี้ ไม่ได้คิดถึงอะไรทั้งนั้น
ผมรู้สึกว่า การหลบมาพักครั้งนี้ ผมได้พักอย่างเต็มที่จริงๆ หลายครั้งที่ผมพยายามจะพัก แต่ไม่เคยรู้สึกว่าได้พักอย่างเต็มที่ ไม่เคยรู้ว่าทำไม แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่า ถ้าอยากจะพักอย่างเต็มที่ ต้องรู้จัก “ดับความคิด” ตัวเองให้ได้