ปีนี้ดูท่าว่าผมจะแก่ไปมาก แต่ละวันที่เลิกงานกลับมา รู้สึกว่าเหนื่อยมากจริงๆ ผมพยายามจะโยนความผิดให้กับความแก่ เพราะไม่อยากยอมรับว่าความท้อเริ่มขยายตัวขึ้นทุกวัน แต่ละวันเริ่ม ทำงานไม่สนุกเหมือนเดิม อาจเป็นเพราะปัญหาที่มากขึ้น หรือเพราะไม่ว่าจะพยายามเท่าไร มันก็ยังคงวนเวียนอยู่กับที่เหมือนเดิม อันนี้ก็ไม่รู้
แต่ที่แน่ๆ ปีนี้สังขารมันร่วงโรยไปมาก จนตัวเองยังแอบตกใจ สายตา กำลัง แม่แต่ความคิด มันเริ่มเสื่อมสภาพมากจนน่ากลัว เมื่อห้าหกปีก่อน ผมนั่งเขียนบล็อกได้ทุกวัน มีเรื่องที่ขบคิดในแง่มุมต่างๆมากมาย แต่วันนี้ แค่สัปดาห์ละเรื่องยังเขียนไม่ได้ เรื่องราวต่างๆ มองก็แค่เห็น มันไม่มีแง่มุมอะไรที่เก็บมาคิดเหมือนเมื่อก่อน เริ่มเป็นคนแก่ที่ไม่ค่อยจะมีความคิดไปเสียแล้ว
ชีวิตผมพยายามไม่ตั้งความหวังอะไร เพราะถ้าเราหวัง ก็มีโอกาสผิดหวัง แล้วก็เกิดทุกข์ แต่ชีวิตจริงของปุถุชนคนที่ยังมีกิเลสอย่างผม ไม่มีทางที่จะไม่ตั้งความหวังอะไรเสียเลย หลายเรื่องที่ตั้งความหวังก็แค่เรื่องพื้นๆ ที่ไม่น่าจะมีใครตั้งความหวังเสียด้วยซ้ำ ขนาดนี้ยังมีเรื่องราวให้หลายอย่างไม่เป็นไปตามที่คิด สิ่งที่ตามมาก็คือ ผิดหวัง เกิดทุกข์ พอหลายๆเรื่องเข้า ก็เริ่มท้อ พาลหมดแรงใจแรงกายไปเสียดื้อๆ
ไม่ว่าที่เกิดขึ้นจะเป็นเพราะความแก่หรือเพราะใจเริ่มท้อก็ตามที มันเป็นสัญญาณที่ไม่ดีสักเท่าไร ถ้าคนเราไม่มีแรงจะยืน จะสู้ ชีวิตจะดำเนินต่อไปได้อย่างไร แล้วคนที่ต้องพึ่งพาเรา พวกเขาจะทำอย่างไร
เอาเถอะครับ ไม่ว่าจะแก่หรือจะท้อ ก็คงยอมให้เป็นได้ตามธรรมชาติ แต่สิ่งที่ยอมไม่ได้คือการการยอมแพ้ เพราะนั่นหมายถึงอีกหลายคนที่ผมรักต้องลำบาก ฉะนั้นไม่ว่าจะแก่หรือจะท้อ ยังไงก็ขอลุยต่อจนกว่าจะยืนไม่ไหวก็แล้วกันครับ