บางวันก็รู้สึกอยากนอนลง หลับตา แล้วไม่ต้องตื่นมาอีกเลย… ตลอดกาล
เหมือนอย่างวันนี้
เครื่องหมายคำถามวนเวียนจนเต็มหัวสมอง มีแต่คำว่าทำไม …นั่นสิทำไม
หงุดหงิด อารมณ์เสีย พาล โทษทุกสิ่งและทุกคนรอบตัว
ทั้งที่รู้ว่า มันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมาเลยสักอย่าง มีแต่ยิ่งเลวร้ายลงไปกว่าเดิม
แต่บางครั้งคนเราก็มีอารมณ์อยากขว้างแก้ว เตะกระป๋อง พังข้าวของ
หรือแม้แต่แหกปากตะโกนออกมาจนแสบคอ
แบบที่ไม่ต้องให้ใครมาถามหาเหตุผลให้ได้เตะปากกัน
เรื่องราวต่างๆ ที่พันเข้ากับชีวิต ทั้งไกลตัว และใกล้ตัว
ทั้งที่รู้ว่าคิดไปก็ยิ่งหงุดหงิด แต่ก็อดเอาไปคิดไม่ได้ …คนเรามักจะเป็นเช่นนี้
มีคนเคยถามว่า หงุดหงิด โมโหแล้วมันมีอะไรดีขึ้น
คำถามกลับก็คือ ถ้าไม่หงุดหงิด ไม่โมโหแล้ว มันมีอะไรดีขึ้นล่ะ
ถ้าการระบายอารมณ์เป็นการลดแรงกดดันในใจลงได้
มันก็ควรทำบ้าง ก่อนที่มันจะระเบิดออกมาเอง
ไม่ต้องการคำปลอบใจ ไม่ต้องการความเห็นใจ
และที่ไม่ต้องการมากที่สุด คือประโยคคำคม ปรัชญา ห่าเหวที่คนพูด คนเขียน ไม่เคยทำเองได้
แต่ก็ขยันพูด ขยันบอกคนอื่นเสียจริง
เบื่อกับการที่ต้องอยู่ในสังคมที่ดัดจริต กระแดะ ตอแหล และหลงตัวเอง
พยายามปิดกั้นทุกช่องทาง เพื่อไม่ต้องรับรู้สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น
เพราะรู้ดีว่า เมื่อเห็นแล้วรู้แล้ว ไม่ได้เป็นดั่งที่หวังไว้ ย่อมเกิดทุกข์
ชีวิตคนไม่ใช่วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ที่ต้องมีเหตุผลไปเสียทุกเรื่อง
ชีวิตคนมันยังต้องมีอารมณ์ สิ่งที่เหตุผลไม่สามารถใช้ได้
มักมีคนพูดเสมอว่าอย่าให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล
อยากถามกลับไปว่า …ใครบอกมึง
ศิลปินชื่อกระฉ่อนโลกเขาเอาเหตุผลอะไรสร้างผลงาน
วันนี้ตาแก่คนนี้ขอฟาดงวงฟาดงา ใช้ชีวิตแบบไม่มีเหตุผลส้นเท้าอะไรทั้งนั้นสักวัน
วันนี้ขอปิดร้าน ปิดโทรศัพท์ ปิดเน็ต ไม่ต้องรับรู้ รับฟัง เรื่องอะไรทั้งนั้น
แต่พรุ่งนี้ก็คงต้องกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม อยู่กับสังคมที่ดัดจริต กระแดะ ตอแหล และหลงตัวเอง เหมือนเดิม
มันยังมีเรื่องราวที่ต้องรับผิดชอบ มีหน้าที่ที่ต้องกระทำ ก็ต้องอดทนกันต่อไป
ก็ถือเสียว่า วันนี้ผมกดปุ่มรีเซทชีวิตอีกครั้งหนึ่ง พรุ่งนี้จะได้เดินต่อไปได้ก็แล้วกันครับ