ฝนแรกที่พรมลงบนผืนดินแห้งผากที่ถูกแสงแดดเคี่ยวกรำมานานนับเดือน เกือบทั้งหมดระเหยกลับเป็นไอที่หอบเอากลิ่นดินที่เพิ่งสัมผัสน้ำล่องลอยอบอวลไปทั่ว อากาศที่ร้อนอบอ้าวมาตลอดเวลานานนับเดือน ถูกแปรเปลี่ยนให้คลายความร้อนลงอย่างฉับพลัน บรรยากาศที่เคยหนักอึ้งเมื่อตอนก่อนฝนจะตกเริ่มคลี่คลายลง ต้นไม้ใบหญ้าเริ่มเงยหน้ายิ้มรับสายฝนที่พร่างพรายลงมาจากฟ้า
หลังจากความร้อนเคี่ยวกรำทดสอบความอดทนมานานนับเดือน นับครั้งไม่ถ้วนกับถ้อยคำพร่ำบ่นถึงความร้อน ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนจากการพร่ำบ่น เป็นการลงมือทำงาน วงรอบแห่งปีเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ต้นกล้าเล็กๆ จะเริ่มถูกเพาะ และเติบโตเป็นเพื่อให้ผลผลิตแก่ผู้คน ขุนเขาและแมกไม้จะเริ่มรวบรวมหยดน้ำเป็นลำธารและแม่น้ำ หล่อเลี้ยงผู้คนและมวลสัตว์ ไม้ยืนต้นเริ่มขยายกิ่งก้าน และขนาดลำต้น เพิ่มการเจริญให้มากขึ้น สายฝนปลุกบรรดาชีวิตต่างๆ ให้เริ่มเดินหน้าต่อไปอีกครั้ง
ผู้คนในเมืองห่างหายจากกลิ่นไอดินมาแสนนาน บางคนไม่เคยได้กลิ่นสักครั้ง คงมีแต่ผู้คนในชนบทที่ยังมีไอดิน มีกลิ่นฝน เป็นเหมือนเพื่อนสนิทที่คอยแวะเวียนมาหาอยู่ทุกปี เพื่อนที่พาจุดเริ่มของวงรอบการดำเนินชีวิตมาให้ ผู้คนในเมืองจึงรู้จักฝนเป็นเพียงเครื่องมือคลายความร้อน เป็นสัญญลักษณ์แห่งความทุกข์ยากของระบบจราจร แม้กระทั่งเป็นหายนะที่ทำให้น้ำท่วม หรือเป็นสิ่งน่ารำคาญที่ทำให้เสื้อผ้า และรองเท้าราคาแพงเปรอะเปื้อน แต่ลืมนึกไปว่าหากวันใดที่ไม่มีไอดิน กลิ่นฝนให้สัมผัส นั่นหมายถึงความอดอยากยากแค้นของคนทั้งหมด
ฝนเริ่มจางเม็ดลง บนฟ้ามองเห็นรุ้งโค้งยาวเกือบสุดขอบฟ้า อากาศเย็นชื้นที่ถูกลมเบาๆหอบผ่านตัวไป ราวเพื่อนรักแตะไหล่ทักทาย กลิ่นไอดินที่เริ่มจางลงบ้างแล้วด้วยถูกกลบด้วยกลิ่นของใบไม้ที่เริงร่า มีเพียงชนบทเท่านั้นที่มีโอกาสได้รับของขวัญสุดแสนวิเศษจากธรรมชาติเช่นนี้