บ่ายวันศุกร์กลางเดือนกุมภาพันธ์ที่แดดแรงราวกับเดือนเมษายน ทุกอย่างมันช่างเงียบสงบ จนได้ยินสิ่งที่เขาเรียกกันว่า “ใบไม้ไหว”
มันดูเหมือนจะดีสำหรับผมที่เป็นคนไม่ชอบอะไรเสียงดัง ชอบความสงบและเสียงธรรมชาติ
แต่ผมว่ามันออกเงียบจะเกินไป ผู้คนไม่มีใครออกมาทำกิจกรรมใดๆ ไม่มีแม้รถมอเตอร์ไซค์สักคันจะวิ่งผ่าน
อาจจะเพราะแดดแรง ร้อน.. ผมพยายามคิดเข้าข้างตัวเองเข้าไว้ เพราะทั้งสัปดาห์มีลูกค้าเข้ามาแค่ไม่กี่ราย
หลายรายบอกยังไม่ซ่อม ยังไม่เปลี่ยน.. แต่ล่าสุดที่น่ากลัวมาก ค่าซ่อม 150 บาท บอกยังไม่มารับนะ รอเงินจากทางบ้านก่อน
ผมไม่ได้โกรธหรือตำหนิเด็กๆ ลูกค้าผมหรอกครับ เพราะผมรู้ดีว่า ถ้าพ่อแม่ไม่มีเงิน ลูกก็ไม่มีเงินไปด้วย
อันนี้เป็นความจริงที่ไม่ต้องใช้อะไรพิสูจน์ ไอ้ส่วนที่จะไปหาจากไหนมาเพื่อให้ลูกมี นั่นมันอีกเรื่อง
แต่ที่ผมเริ่มห่วงก็เพราะดูจากผู้คนรอบๆ ตัวผม ทั้งรู้จักและไม่รู้จัก นับวันยิ่งย่ำแย่ลงทุกวัน
บางคนเริ่มขายสมบัติเอาเงินมากินมาใช้แล้ว เพราะทำมาหากินฝืดเคืองขนาดนี้ หาได้ไม่พอจะกินกันทั้งนั้น
พ่อค้าแม่ค้าตัวเล็กๆ ขายไม่ได้ ไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน ร้านค้าส่งขนาดกลางก็เริ่มกระทบ
ส่งออกไม่ได้ คนผลิตก็ไม่มีใครจ้างผลิต
ภาคเกษตรก็เจอภัยแล้ง ราคาตกต่ำ ปลูกไปก็มีแต่จะขาดทุน
หลายคนรับเงินเดือนทั้งเอกชน ทั้งราชการ คิดว่าไม่เป็นไร ไม่เกี่ยวกับตัว
แต่ถ้าคนชั้นล่างที่เป็นแรงงาน เป็นมือเป็นตีนเหล่านี้ ไม่มีเงินจะกินจะใช้ บริษัทเอกชนที่ไหนจะอยู่ได้
จะไปได้ภาษีจากไหนเอามาจ่ายเงินเดือน
ความเป็นสังคมมันคือการพึ่งพากัน แบบซิมไบโอซิส ไม่ใช่แบบปรสิต
ถ้าทุกวันเราคิด เรามองแต่ตัวเอง ไม่คิดถึงผู้อื่น สุดท้าย เราก็จะไม่มีผู้อื่นแบบที่เราอยากได้
สังคมมันจะล่มสลาย กลายเป็นแค่ฝูง ที่ไม่ต้องใช้อะไรในการอยู่ร่วมกันมากไปกว่ากำลัง
เมื่อถึงตอนนั้น ความรู้ต่างๆ ที่เรามี ที่เราเรียน มันจะกลายเป็นสิ่งไร้ค่า เหมือนกับชีวิตเราเอง
ถึงตาแก่คนนี้จะชอบความสงบ ชอบความเงียบ แต่ถ้ามันเงียบแบบสิ้นใจแบบนี้ มันก็ไม่ไหวเหมือนกันนะครับ