สามสี่วันที่ผ่านมา อากาศร้อนแบบไม่น่าให้อภัย นี่มันเพิ่งจะเข้าเดือนมีนา แต่มันตั้งหน้าตั้งตาร้อน ยังกับกลางเดือนเมษา ช่วงกลางวันผมแทบไม่อยู่ในร้าน ออกมานั่งใต้ต้นตะขบหลังร้านของผม ที่ตอนนี้มันแผ่กิ่งก้านร่มใบแทบจะคลุมหลังคาผมไปครึ่งร้านได้ ปีนี้ก็คงได้มันอีกเหมือนเดิม ที่เป็นเหมือนเครื่องปรับอากาศ ที่ทำให้ตาแก่คนนี้ดำรงชีวิตอยู่อย่างไม่ทุกขเวทนามากนัก
กว่าจะฝ่าฟันกับอากาศร้อนไปถึงตอนเย็น ผมก็มีอาการอ่อนแรงทุกวัน
แอบสงสัยตัวเองเหมือนกัน ไม่ได้ทำอะไรมากมายเหมือนเมื่อก่อน ทำไมมันถึงได้เหนื่อยนัก
นี่ถ้าถามคนข้างๆ คงตอบเหมือนกันว่า ก็แก่แล้วไง
เพราะไม่อยากฟังให้แสลงหูก็เลยไม่ถามใคร เอาเป็นว่ารู้ตัวเองว่า ตกเย็นเป็นต้องหมดแรงทุกวัน
ไอ้อาการหมดแรงมันจะไม่มีปัญหาอะไรกับผมเลย ถ้าตอนเย็นผมไม่มีภารกิจที่ต้องทำทุกวัน
ก็ไอ้การ เดินพันก้าว ที่ผมเคยเล่าให้ฟังนั่นแหละครับ
พออาการหมดแรงตอนเย็นมันเสนอหน้ามา ภารกิจเดินพันก้าวของผมมันก็ดำเนินไปอย่างกระท่อนกระแท่นเต็มที
บางวันถือโอกาสเบี้ยวมันเสียดื้อๆก็มี โดยใช้ข้ออ้างหมดแรงนั่นแหละครับ
แต่ถึงอย่างไร ผมก็ยังพยายามจะฝืนออกกำลังกายบ้าง แม้จะไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวอย่างคนอื่นเขา
ก็ถือเอาว่า ทำได้แค่ไหนก็ดีแค่นั้น ถึงตอนเย็นจะมีอาการหมดแรงก็เถอะครับ
จนเมื่อเย็นนี้เอง ผมบ่นให้น้องๆคนหนึ่งฟังเรื่องนี้ มันหัวเราะแล้วบอกผมว่า
”คงไม่ได้หมดแรงเพราะร้อนหรอกพี่ หมดแรงเพราะบ้านนี้เมืองนี้ทำมาหากินไม่ได้มากกว่ามั้ง”
เออ จริงของมัน สรุปว่าไอ้ที่ผมหมดแรงทุกเย็น เพราะรายได้มันย่ำแย่ ลูกค้าไม่ค่อยมี แถมเจออากาศร้อนเข้าไปอีก
เรียกว่าเป็นปัจจัยเกื้อหนุนกันเป็นอย่างดี เล่นเอาผมหมดแรงไปเลยทีเดียว
แต่ที่ผมสงสัยเป็นประการต่อมาก็คือ ไอ้น้องมันรู้สมมติฐานโรคกระจ่างแจ้งอย่างนี้ได้ยังไง
สุดท้ายมันก็เฉลยให้ฟัง
”อ๋อ ผมก็เป็นเหมือนกัน แต่ตอนนี้ฉิบหายหมดแล้ว เลยเลิกหมดแรงแล้วพี่ เปลี่ยนมาเป็นหมดตัวแทนแล้วครับ”